แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative Learning)
ผศ.ดร.นรีรัตน์ สร้อยศรี
2.2.1 การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learnig)
2.2.1.1 ทฤษฏีพื้นฐานของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Murray, 1997 อ้างถึงใน อุดม, 2551)
กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือของผู้เรียนมาจากฐานทางทฤษฎี 4 ทฤษฎีดังนี้
2.2.1.1.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory : Team work)
วัฒนธรรมการเรียนรู้ทางสังคมได้นำมาใช้อย่างกว้างขวางในโรงเรียน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่นักเรียน จะทำงานหนักเพื่อรางวัล หรืออาจไม่ผ่านในการปฎิบัติงานนั้นบางทีอาจถูกลงโทษ การทำงานเป็นกลุ่ม ความสมามารถที่แท้จริง และการศึกษาพฤติกรรมผู้อื่น เป็นเครื่องมือของครูในการเรียนรู้แบบร่วมมือในวัฒนธรรมการเรียนรู้ทางสังคม
2.2.1.1.2 ทฤษฎีของPiaget (Piagetian Theory : Conflict Resolution)
2.2.1.1.3 ทฤษฎีของVygotsk (Vygotskian Theory : Community Collaboration)
2.2.1.1.4 ทฤษฎีวิทยาการปัญญา (Cognitive Science Theories : Tutoring)
2.2.1.2 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
ราชบัณฑิตสถาน (2551) ได้ให้ความหมาย ว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดหลักให้ผู้เรียนช่วยกันเรียนรู้โดยพึ่งพากัน มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดใช้ทักษะทางสังคมในการทำงานร่วมกัน มีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานกลุ่มและมีการตรวจสอบผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคล
วิกิพีเดีย ได้ให้ความหมายของ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือโดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำกิจกรรมร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพากัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวมเพื่อให้
ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งตรงข้ามกับการเรียน
ที่เน้นการแข่งขันและการเรียนตามลำพัง
Blackcom (1992) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จโดยผู้เรียนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความสามารถต่างกัน ใช้กิจกรรมการเรียนที่หลากหลาย ในการปรับปรุงความเข้าใจในเนื้อหาวิชา สมาชิกแต่ละคนในทีมจะไม่เพียงจะต้องมีความรับผิดชอบแต่ต้องช่วยเหลือกันในกลุ่ม ซึ่งสร้างบรรยากาศของสัมฤทธิ์ผลในการเรียนอีกด้วย
ไพฑูรย์ และคณะ (2550) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการร่วมมือร่วมใจในการศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายซึ่งถือเป็นความสำเร็จของกลุ่ม เน้นการทำงาน คละความสามารถของสมาชิก ดังนั้นการกระทำใด ๆ ของสมาชิกย่อมมีผล กระทบต่อกลุ่มและสมาชิกคนอื่น ๆ
ทิศนา (2552) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือคือ การเรียนที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุด โดยอาศัยการร่วมมือกันช่วยเหลือกันและแลกเปลี่ยนความรู้กัน ระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษา เนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ
สรุป การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งในงานวิจัยนี้เรียก Cooperative Learning ว่า การเรียนแบบร่วมมือ
2.2.1.3 รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
Johnson, Johnson and Stann (2000) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง มีทั้งหมด 8 รูปแบบ ได้แก่
1. รูปแบบแอลที (LT) หรือ Learning Together
2. รูปแบบเอ.ซี. (AC) หรือ Academic Controversy
3. รูปแบบเอส.ที.เอ.ดี (STAD) หรือ Student-Team-Achievement- Divisions
4. รูปแบบที.จี.ที (TGT) หรือ Team-Games-Tournaments
5. รูปแบบจี.ไอ (GI) หรือ Group Investigation
6. รูปแบบจิ๊กซอร์ (Jigsaw)
7. รูปแบบที.เอ.ไอ (TAI) หรือ Teams-Assisted-Individualization
8. รูปแบบซี.ไอ.อาร์.ซี (CIRC) หรือ Cooperative Intergrated Reading and Composition
ทั้ง 8 รูปแบบ ให้ผลกระทบในด้านบวกต่อสัมฤทธ์ผลทางการเรียน ซึ่งสอดคล้องกับ ทิศนา (2548) กล่าวว่าทุกรูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือต่างมีกระบวนการเรียนรู้ที่พึ่งพาและเกื้อกูลกัน สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษาหารือและปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด สมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและสามารถตรวจสอบได้ สมาชิกกลุ่มต้องใช้ทักษะการทำงานกลุ่มและการสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการทำงานหรือการเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้งมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อประสิทธิภาพและคุณภาพของการทำงานร่วมกัน ในส่วนที่ต่างกันนั้นมักจะเป็นความแตกต่างในเรื่องของวิธีการจัดกลุ่ม วิธีการในการพึ่งพากัน วิธีการทดสอบ กระบวนการในการวิเคราะห์กลุ่ม บรรยากาศของกลุ่ม โครงสร้างของกลุ่ม บทบาทของผู้เรียน ผู้นำกลุ่มและครู
ซึ่ง Sharp and Culver (1997 อ้างถึงใน ปทีป, 2544) กล่าวถึงงานวิจัยที่ใช้เทคนิคการสอนแบบร่วมมือสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง เป็นเวลา 24 สัปดาห์ พบว่า ผู้เรียนพึงพอใจกับการเรียนรู้และผลจากการประเมินแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณในระดับสูง
2.2.1.4 ประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ทิศนา (2548) ได้แบ่งกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือที่ใช้อยู่โดยทั่วไป มี 3 ประเภท ดังนี้
1. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ (Formal Cooperative Learning Group) กลุ่มประเภทนี้ครูจัดขึ้นโดยการวางแผน จัดระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันเรียนรู้สาระต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน หรือหลายสัปดาห์ติดต่อกัน จนกระทั่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่กำหนด
2. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ (Informal Cooperative Learning Group) กลุ่มประเภทนี้ ครูจัดขึ้นเฉพาะกิจเป็นครั้งคราว โดยสอดแทรกอยู่ในการสอนปกติอื่น ๆ โดยเฉพาะการสอนแบบบรรยาย ครูสามารถจัดกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือสอดแทรกเข้าไปเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมุ่งความสนใจ หรือใช้ความคิดเป็นพิเศษในสาระบางจุด
3. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร (Cooperative Base Group) หรือ Long – Term Group กลุ่มประเภทนี้ เป็นกลุ่มการเรียนรู้ที่สมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์การทำงาน / การเรียนรู้ร่วมกันมานานมากกว่า 1 หลักสูตร หรือภาคการศึกษา จนกระทั่งเกิดสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น สมาชิกกลุ่มมีความผูกพัน ห่วงใย ช่วยเหลือกันและกันอย่างต่อเนื่อง ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ มักจะมีกระบวนการ
ดำเนินงานที่ต้องทำเป็นประจำ เช่น การเขียนรายงาน การเสนอผลงานของกลุ่ม การตรวจผลงาน เป็นต้น ในกระบวนการที่ใช้หรือดำเนินการเป็นกิจวัตรในการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้ เรียกว่า Cooperative Learning Scripts ซึ่งหากสมาชิกกลุ่มปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะเกิดเป็นทักษะที่ชำนาญในที่สุด
2.2.2 การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
2.2.2.1 ทฤษฏีพื้นฐานของการเรียนแบบร่วมกัน Johnson and Johnson (1996) กล่าวว่ามีทฤษฎี 3 ทฤษฎีที่ชี้นำในการวิจัยการเรียนแบบร่วมกัน (Collaborative Learning) คือ
2.2.2.1.1 Cognitive-developmental Perspective เป็นพื้นฐานมาจากทฤษฎีของ Piaget and Vygotsky ซึ่ง Piaget กล่าวถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือรายบุคคลบนสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ส่วน Vygotsky กล่าวถึง องค์ความรู้ คือสังคม สร้างมาจากผลของการร่วมมือกันในการเรียนความเข้าใจ และการแก้ปัญหา
2.2.2.1.2 Behavioral Learning Theory Perspective ของ Skinner ซึ่งกล่าวถึงการเสริมแรง การให้รางวัล
2.2.2.1.3 Social Interdependence กล่าวถึงบุคคลหลาย ๆ คนที่มีเป้าหมายมีส่วน ร่วมกัน และบุคคลที่ประสบความสำเร็จโดยมีกิจกรรมกับผู้อื่น
2.2.2.2 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning (CL)) เป็นคำสำคัญทางการศึกษา ได้มีผู้ให้คำนิยามไว้อย่างชัดเจนในหลายมุมมอง เช่น
ราชบัณฑิตสถาน (2551) เรียกว่า การร่วมกันเรียนรู้ หรือการเรียนรู้ร่วมกัน หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากที่บุคคลรวมตัวกันทำงานอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีเสมอกัน โดยเน้นการรวมพลังและกระบวนการทำงานที่ดี
Gokhlae (1995) เห็นว่า CL คือ วิธีการสอนที่เน้นกระบวนการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กเพื่อจุดหมายร่วมกัน ผู้เรียนจะมีความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เพื่อผลสำเร็จร่วมกัน
Collaborative learning online (2008) กล่าวว่าการเรียนรู้แบบร่วมกัน ไม่ปรากฏในการเรียนรู้รูปแบบเดิมที่ผู้เรียนมีอิสระในการทำงาน งานเรียนและมีความรับผิดชอบในตัวเอง ซึ่งในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมโดยทั่วไปเป็นการปฏิบัติด้วยตัวเองและ ทำรายงานดังนั้นจึงไม่ต้องพึ่งพาอาศัยกันกับผู้เรียนอื่น
ไพฑูรย์ และคณะ (2550) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมแรงรวมพลัง (Collaborative Learning) ว่าการเรียนรู้นี้เป็นวิธีการเรียนการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกันเน้นการมีความสนใจร่วมกันของสมาชิกมากกว่าระดับความสามารถ บทบาทของสมาชิกทุกคนมีความชัดเจนและทำงานไปพร้อม ๆ กัน ศึกษาค้นคว้า ปฏิบัติงานและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเรียนแบบนี้เน้นการยอมรับ
ในบทบาทหน้าที่ของกันและกัน รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้
ตลอดเวลา
สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning) หมายถึง การเรียนที่เน้นการทำงานเป็นกลุ่ม ที่สมาชิกในกลุ่มทำงานรับผิดชอบร่วมกัน การยอมรับบทบาทหน้าที่ของกันและกันและสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างสมาชิกด้วยกันได้ ซึ่งในงานวิจัยนี้ เรียกว่า การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
2.2.2.3 องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
มนต์ชัย (2551) กล่าวว่า องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมกัน มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่
1. มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence)
2. การมีปฏิสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face to Face Promotive Interaction)
3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล (Individual Accountability)
4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skill)
5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process)
2.2.2.4 หลักเกณฑ์ของการเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
Johnson, Johnson & Smith (อ้างถึงใน Collaborative learning online, 2008) ได้สรุปหลักการ
เรียนรู้แบบร่วมกันที่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา ไว้ดังนี้
1. องค์ความรู้คือการสร้าง การค้นคิดและเปลี่ยนสภาพโดยผู้เรียน ผู้สอนสร้างเงื่อนไขที่ผู้เรียนสามารถสร้างความหมายจากวัสดุในการเรียนโดยใช้กระบวนการผ่านโครงสร้างทางปัญญาและเก็บไว้ในความจำระยะยาวเพื่อจะสามารถนำกลับมาใช้
2. ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการสร้างองค์ความรู้ การเรียนคือสิ่งที่ผู้เรียนทำไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผู้เรียน ผู้เรียนไม่ใช่คอยรับความรู้จากครูหรือหลักสูตร ผู้เรียนจะต้องมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนโดยใช้โครงสร้างทางปัญญาหรือสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่
3. การสอนมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะและความสามารถด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน
4. การศึกษาคือการติดต่อระหว่างบุคคลของผู้เรียน และระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนในการทำงาน ร่วมกัน
5. ข้อ ก-ง สามารถใช้แทนด้วยบริบทของการร่วมมือกัน
6. การสอนจะสมบูรณ์และมีประโยชน์ตามทฤษฎีจะต้องพิจารณาที่ผู้สอนว่าได้มีการอบรมทักษะและกระบวนการของการสอนแบบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ตารางที่ 2-1 เปรียบเทียบการสอนแบบเดิม (Tradition Teaching) กับการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลางในรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมกัน(Collaborative Learning)
การสอนแบบเดิม
(Tradition Teaching)
|
การเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative Learning)
|
| จัดสิ่งแวดล้อมให้ครูเป็นศูนย์กลาง | จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง |
| ครูเป็นผู้ควบคุม | ผู้เรียนเป็นควบคุมการเรียนของตนเอง |
| อำนาจและความรับผิดชอบอยู่ที่ครู | อำนาจและความรับผิดชอบอยู่ที่ผู้เรียน |
| ครูเป็นผู้สอนและตัดสินใจ | ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกและแนะนำผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจ |
| ประสบการณ์ในการเรียนมีพื้นฐานอยู่บนการแข่งขัน | การเรียนอาศัยการเรียนแบบร่วมมือ การเรียนแบบร่วมกัน หรือ เป็นอิสระ ผู้เรียนทำงานด้วยกันและช่วยเหลือผู้อื่น แลกเปลี่ยนทักษะและความคิด |
ตารางที่ 2-1 (ต่อ)
การสอนแบบเดิม
(Tradition Teaching)
|
การเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative Learning)
|
| ครูเป็นผู้อธิบายการจัดการงานในแต่ละวิชา | จัดการตามสภาพจริงในการทำโครงการ |
| เนื้อหาเป็นสิ่งที่สำคัญ | ช่องทางการใช้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ |
| ความรู้ที่ได้มาจากการฝึกและปฏิบัติ | ความรู้มาจากการประเมินและการตัดสินใจซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้เรียนโดยการสร้างองค์ความรู้ขึ้นมา |
(Theroux, 2010)
เมื่อพิจารณาจากตารางแล้วสรุปได้ว่า ลักษณะการสอนแบบเดิมครูเป็นศูนย์กลางในการเรียน
การสอนแต่การเรียนรู้แบบร่วมกันผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนการสอนอย่างชัดเจน
2.2.2.5 การออกแบบการเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
อุดม (2551) กล่าวว่า การออกแบบการเรียนรู้แบบร่วมกัน ต้องทำให้เกิดความสะดวกระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู ครูกับครู ห้องเรียนกับสถาบันการศึกษาอื่น ๆ และชุมชน การเรียนต้องเป็นอิสระ ผู้เรียนได้กระทำเองปฎิบัติเอง มีการสื่อสารทางไกลกับนักศึกษาอื่น การสื่อสารการเรียน
แบบร่วมกัน (Collaborative) ซึ่งสอดคล้องกับ Eugenia M. W. Ng and Ada W. W. Ma (2002) กล่าวว่า การปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนช่วยสนับสนุนการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งง่ายและสะดวกในการติดต่อไปยังผู้เรียนคนอื่น ๆ ซึ่งมีความสะดวกในเรื่องเวลาและสถานที่อีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับการสื่อสารแบบอื่น นอกจากนี้ เว็บยังสามารถเก็บข้อความข่าวสาร ที่ผู้ใช้สามารถนำมาสร้างใหม่ สามารถนำมาอ้างอิง เปลี่ยนและเก็บบันทึกระหว่างมีปฎิสัมพันธ์กันได้โดยง่าย และผลที่ได้คือ ผู้เรียนที่มีพื้นหลังที่แตกต่างกันและสถานที่ต่างกันสามารถแบ่งปันระหว่างกัน และประสบการณ์กลุ่มและการออกความเห็นร่วมกันในการแก้ปัญหาในกระบวนการเรียน
2.2.3 ข้อแตกต่างระหว่างการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรู้แบบร่วมกัน
ณมน (2007) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมกัน(Collaborative Learning) กับการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีความหมายใกล้เคียงกันมาก บางครั้งเราสามารถใช้แทนกันได้ แต่โดยส่วนใหญ่ค่าว่า “Collaborative Learning” จะใช้กับการเรียนการสอนออนไลน์ ซึ่งทั้ง Collaborative Learning กับ Cooperative Learning มีข้อแตกต่างกันในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานของบทเรียน (Pre – Structure) โครงสร้างหรือกิจกรรมการเรียน (Task – Structure) และโครงสร้างเนื้อหา (Content Structure) Cooperative Learning จะมีการกำหนดโครงสร้างล่วงหน้ามากกว่า มีความเกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างไว้เพื่อคำตอบที่มีขอบเขตชัดเจน และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ชัดเจนมากกว่า ส่วน Collaborative Learning มีการจัดโครงสร้างล่วงหน้าน้อยกว่า เกี่ยวข้องกับงานที่มีการจัดโครงสร้างแบบหลวมๆ (Ill – Structure Task) เพื่อให้ได้คำตอบที่ยืดหยุ่นหลากหลาย และมีการเรียนรู้ในขอบข่ายความรู้และทักษะที่ไม่จำกัดตายตัว ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพการเรียนการสอนออนไลน์มักนิยมใช้คำว่า การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
Panitz (1997) ได้กล่าวเปรียบเทียบความหมายของคำว่า Collaboration กับ Cooperation ซึ่งมีความแตกต่างกันคือ Collaboration มีรากศัพท์จากภาษาละติน เน้นกระบวนการทำงานร่วมกัน ส่วนคำ Cooperation มีรากศัพท์ที่เน้นถึง ผลของการทำงานร่วมกัน คำว่า Co-Operative learning มุ่งไปที่คุณลักษณะโดยธรรมชาติของการเรียนร่วมกัน และทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ส่วนคำว่า Collaborative learning มีที่มาจากอังกฤษ คือลักษณะการทำงานของครูชาวอังกฤษที่พยายามหาวิธีช่วยให้นักเรียนมีบทบาทเชิงรุกในการเรียนของตนเอง การเรียนแบบ Cooperative learning จึงมักเน้นกลวิธีเชิงปริมาณ ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตผลงาน ส่วนการเรียนแบบ Collaborative จะใช้กลวิธีเชิงคุณภาพมากกว่าและเน้นคุณลักษณะของการทำงานร่วมกัน
ตารางที่ 2-2 เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และ
การเรียนแบบร่วมกัน (Collaborative Learning)
การเรียนรู้แบบร่วมกัน
(Collaborative learning)
|
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative learning)
|
| 1. นิเทศกลุ่มและจัดกิจกรรมกลุ่มด้วยตนเอง2. กลุ่มเป็นผู้กำหนดบทบาทของตนเอง
3. ครูไม่ได้ติดตามงานกลุ่มและถามคำถาม
กลับไปยังกลุ่ม
4. ไม่จำกัดช่วงเวลาทำได้มากกว่าข้อสรุป
ของกลุ่ม
5. ไม่มีการฝึกอบรมทักษะของกลุ่ม
6. ไม่มีกระบวนการทำงานกลุ่มแบบเป็น
ทางการกลุ่มเป็นผู้กำหนดกระบวนการ
ทำงานและแสดงความเห็นสะท้อนกลับ
ด้วยตนเอง
7. ส่วนมากใช้ในอุดมศึกษา
| 1. ทำงานด้วยกันตามโครงสร้างกลุ่มที่ครูกำหนด2. ครูเป็นผู้กำหนดบทบาทให้
3. ครูควบคุมและสอดแทรกในระหว่าง
กลุ่มทำงาน
4. ครูเป็นผู้กำหนดช่วงเวลา
5. มีการฝึกอบรมทักษะให้แก่กลุ่มเล็ก
6. ช่วงเวลาของกลุ่มใช้ในทบทวนงานและ
กระบวนการทำงานของกลุ่ม
7. ส่วนมากใช้ในสิ่งแวดล้อมทางวิชาการ
ในระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย
|
(ศักดา อ้างถึงใน LeJeune, 1999)
เมื่อพิจารณาความแตกต่างของการเรียนรู้แบบร่วมมือและการเรียนรู้แบบร่วมกันจะเห็นว่าการเรียนแบบร่วมมือจะมีผู้สอนเป็นผู้กำหนดโครงสร้างในการเรียนมากกว่าซึ่งทำให้เหมาะสมกับการเรียนที่เป็นระดับชั้นมัธยมศึกษา แต่การเรียนรู้แบบร่วมกันผู้เรียนจะเป็นผู้กำหนดโครงร้างการทำงานของกลุ่มเองจึงทำให้เหมาะสมกับผู้เรียนระดับอุดมศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น